วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คณะผู้จัดทำ

คณะผู้จัดทำ


นายปรัชญา  อิทธิลิขิตปัญญา  






น.ส.หทัยทิพย์  มันตเสรีวงศ์




น.ส.จันทิมันต์  พฤกษากร





วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บทที่ 5 เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต

บทที่ 5 เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต


ความหมายของอินเตอร์เน็ต


อินเทอร์เน็ต ( Internet ) คือ เครือข่ายของคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกัน โดยอาศัยเครือข่ายโทรคมนาคมเป็นตัวเชื่อมเครือข่าย ภายใต้มาตรฐานการเชื่อมโยงด้วยโปรโตคอลเดียวกันคือ TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol) เพื่อให้คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในอินเทอร์เน็ตสามารถสื่อสารระหว่างกันได้ นับว่าเป็นเครือข่ายที่กว้างขวางที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้นิยมใช้ โปรโตคอลอินเทอร์เน็ตจากทั่วโลกมากที่สุด


อินเทอร์เน็ตจึงมีรูปแบบคล้ายกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบ WAN แต่มีโครงสร้างการทำงานที่แตกต่างกันมากพอสมควร   เนื่องจากระบบ WAN เป็นเครือข่ายที่ถูกสร้างโดยองค์กรๆ เดียวหรือกลุ่มองค์กร เพื่อวัตถุประสงค์ด้านใดด้านหนึ่ง และมีผู้ดูแลระบบที่รับผิดชอบแน่นอน แต่อินเทอร์เน็ตจะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์นับล้านๆ เครื่องแบบไม่ถาวรขึ้นอยู่กับเวลานั้นๆ ว่าใครต้องการเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ตบ้าง ใครจะติดต่อสื่อสารกับใครก็ได้ จึงทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตไม่มีผู้ใดรับผิดชอบหรือดูแลทั้งระบบ


ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต





คอมพิวเตอร์แต่ละระบบส่วนใหญ่จะแยกทำงานกันโดยอิสระ มีเพียงระบบคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ใกล้กันเท่านั้นที่สามารถสื่อสารกันด้วยความเร็วต่ำ จากปัญหาและอุปสรรคในการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวงเตอร์และความต้องการในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน จึงทำให้เกิดโครงการอาร์พาเน็ต 


โครงการอาร์พาเน็ตอยู่ในความควบคุมดูแลของอาร์พา (Advanced Research Projects Agency หรือ ARPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานย่อย ในสังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา อาร์พาทำหน้าที่สนับสนุน งานวิจัยพื้นฐานทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยให้ทุนสนับสนุน แก่หน่วยงานอื่น ๆ เช่น มหาวิทยาลัย และบริษัทเอกชนที่ทำการวิจัยและพัฒนา ในปี พ.ศ.2512 (ค.ศ.1969) โครงการอาร์พาเน็ต ได้ริเริ่มขึ้น โดยเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ระหว่างสถาบัน 4 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตา บาร์บารา, มหาวิทยาลัยยูทาห์ และสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเครื่องคอมพิวเตอร์จากสถาบันทั้ง 4 แห่งนี้เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ ต่างชนิดกันและใช้ระบบปฎิบัติการ ที่แตกต่างกันต่อมาเครือข่ายอาร์พาเน็ตได้รับความนิยมอย่างมาก มหาวิทยาลัย และหน่วยงานของรัฐและเอกชนต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริการได้เข้าร่วมเชื่อมต่อกับเครือข่ายนี้เพื่อประโยชน์ในการศึกษา
อินเทอร์เน็ตในปะเทศไทย





ประเทศไทยได้เริ่มติดต่อกับอินเทอร์เน็ตในปี พ.ศ. 2530 ในลักษณะการใช้บริการ จดหมายเล็กทรอนิกส์แบบแลกเปลี่ยนถุงเมล์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (Prince of Songkla University) และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียหรือสถาบันเอไอที (AIT) ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย (โครงการ IDP) ซึ่งเป็นการติดต่อเชื่อมโยงโดยสายโทรศัพท์ จนกระทั่งปี พ.ศ. 2531 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ได้ยื่นขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ต Sritrang.psu.th ซึ่งนับเป็นที่อยู่อินเทอร์เน็ตแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาปี พ.ศ. 2534 บริษัท DEC (Thailand) จำกัดได้ขอที่อยู่อินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ประโยชน์ภายในของบริษัท โดยได้รับที่อยู่อินเทอร์เน็ตเป็น dect.co.th โดยที่คำ “th” เป็นส่วนที่เรียกว่า โดเมน (Domain) ซึ่งเป็นส่วนที่แสดงโซนของเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย โดยย่อมาจากคำว่า Thailand


กล่าวได้ว่าการใช้งานอินเทอร์เน็ตชนิดเต็มรูปแบบตลอด 24 ชั่วโมง ในประเทศไทยเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน กรกฎาคม ปี พ.ศ. 2535 โดยสถาบันวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้เช่าวงจรสื่อสารความเร็ว 9600 บิตต่อวินาที จากการสื่อสารแห่งประเทศไทยเพื่อเชื่อมเข้าสู่อินเทอร์เน็ตที่บริษัท ยูยูเน็ตเทคโนโลยี (UUNET Technologies) ประเทศสหรัฐอเมริกา
ในปีเดียวกัน ได้มีหน่วยงานที่เชื่อมต่อแบบออนไลน์กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลายแห่งด้วยกัน ได้แก่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า วิทยาเขตเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ โดยเรียกเครือข่ายนี้ว่าเครือข่าย “ไทยเน็ต” (THAInet) ซึ่งนับเป็นเครือข่ายที่มี “ เกตเวย์ “ (Gateway) หรือประตูสู่เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นแห่งแรกของประเทศไทย (ปัจจุบันเครือข่ายไทยเน็ตประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 4 แห่งเท่านั้น ส่วนใหญ่ย้ายการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตโดยผ่านเนคเทค (NECTEC) หรือศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ)



 ปี พ.ศ.  2535 เช่นกัน เป็นปีเริ่มต้นของการจัดตั้งกลุ่มจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เพื่อการศึกษาและวิจัยโดยมีชื่อว่า "เอ็นดับเบิลยูจี" (NWG : NECTEC E-mail Working Group) โดยการดูแลของเนคเทค และได้จัดตั้งเครือข่ายชื่อว่า "ไทยสาร" (ThaiSarn : Thai Social/Scientific Academic and Research Network) เพื่อการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน โดยเริ่มแรกประกอบด้วยสถาบันการศึกษา 8 แห่ง ปัจจุบันเครือข่ายไทยสารเชื่อมโยงกับสถาบันต่างๆ กว่า 30 แห่ง ทั้งสถาบันการศึกษาและหน่วยงานของรัฐ


ผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต  ปี  2557


สพธอ. ออกโรงเตือนหลังสำรวจพบพฤติกรรมเสี่ยงภัยออนไลน์เพียบ เล็งตั้ง one stop service ร่วมกับ กสทช.และ DSI ดูแลเหยื่อภัยคุกคามไซเบอร์ เผยคนไทยออนไลน์กว่าวันละ 7 ชั่วโมง เน้นแชท แชะ แชร์ เพศที่สามมาแรงใช้เน็ตกระจาย เป็นขาช็อปตัวแม่ 
คุณสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ.เปิดเผยผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2557 โดยปีนี้เป็นปีแรกที่มีการสำรวจพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของเพศที่สาม นอกเหนือจากแพศชายและเพศหญิง  ด้วยเหตุผลที่ว่างานสำรวจที่ผ่านมาของหลายๆ สำนัก ยังไม่มีการจัดเก็บข้อมูลของเพศที่สามอย่างชัดเจน ซึ่ง สพธอ. เล็งเห็นว่าหากมีการจำแนกเพศให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในปัจจุบันจะทำให้ได้ผลการสำรวจที่เป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจในการที่จะผลิตสินค้าและบริการได้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงการทำตลาดเฉพาะส่วน (niche market) หรือกำหนดช่องทางการขายสินค้าเฉพาะกลุ่มได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น
การสำรวจครั้งนี้เป็นการสำรวจทางอินเทอร์เน็ต โดยทาง สพธอ. ได้เริ่มวางแบบสำรวจบนเว็บไซต์ต่างๆ และเครือข่ายสังคมออนไลน์ ตั้งแต่กลางเดือนเมษายน จนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2557 มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตสนใจเข้ามาตอบแบบสำรวจทั้งสิ้น 16, 596 คน แบ่งออกเป็น เพศหญิง ร้อยละ 56 เพศชาย ร้อยละ 43.1 และเพศที่สาม เพียงร้อยละ 1.3 เท่านั้น โดยสามารถแบ่งภาพรวมของการสำรวจออกเป็นประเด็นต่างๆ ดังนี้
ภาพรวมของการใช้งานอินเทอร์เน็ตจากผลการสำรวจครั้งนี้ พบว่า ค่าเฉลี่ยของการใช้อินเทอร์เน็ตต่อสัปดาห์เพิ่มสูงขึ้นจากการใช้งานโดยเฉลี่ย 32.3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 4.6 ชั่วโมงต่อวัน ในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 50.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือใช้เวลาประมาณ 7.2 ชั่วโมงต่อวัน หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ปัจจุบันนี้คนใช้เวลาเกือบ 1 ใน 3 ของวันเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ต  นอกจากนี้ยังพบว่า “กลุ่มเพศที่สาม” มีจำนวนค่าเฉลี่ยชั่วโมงการใช้งานอินเทอร์เน็ตสูงที่สุด อยู่ที่ 62.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
9
อุปกรณ์ที่ใช้เข้าถึงอินเทอร์เน็ต (Device) 
“สมาร์ตโฟน”  เป็นอุปกรณ์ที่ผู้ตอบแบบสำรวจใช้งานมากที่สุด โดยคิดเป็นร้อยละ 77.1 และมีการใช้งานโดยเฉลี่ย 6.6 ชั่วโมงต่อวัน ตามมาด้วย “คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ” ซึ่งมีผู้ใช้งานร้อยละ 69.4 และมีค่าเฉลี่ยในการใช้งานต่อวันคิดเป็น 6.2 ชั่วโมง และสำหรับการใช้งาน “สมาร์ตทีวี” ในยุคทีวีดิจิทัลระยะเริ่มต้น พบว่า มีผู้ตอบแบบสำรวจเพียงร้อยละ 8.4 เท่านั้นที่ใช้อุปกรณ์นี้ โดยมีการใช้งานเฉลี่ย 3.4 ชั่วโมงต่อวัน
1
ช่วงเวลาที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตจากอุปกรณ์ต่างๆผู้ตอบแบบสำรวจกว่าร้อยละ 50 ระบุว่าช่วงเวลา 08.01 – 16.00  น.เป็นช่วงเวลาที่มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตจากคอมพิวเตอร์แบบ Desktop อย่างไรก็ตาม ยังพบอีกว่าผู้ตอบแบบสำรวจกว่าร้อยละ 40 ยังมีการใช้งานสมาร์ตโฟนในช่วงเวลานี้เช่นกัน และในช่วงเวลาหลังเลิกงาน/เรียน ตั้งแต่ 16.00 – 24.00 สมาร์ตโฟนกลายเป็นอุปกรณ์ที่ถูกใช้งานเพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงที่สุด  นอกจากนี้ อุปกรณ์อย่างแท็บเล็ตและสมาร์ตทีวีก็ถูกใช้งานมากขึ้นในช่วงเวลานี้ มื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาอื่น
2
กิจกรรมการใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตจากผลการสำรวจ แสดงให้เห็นว่าผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อความบันเทิงและการสื่อสารเป็นหลัก โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ อันดับ 1 การพูดคุยผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ร้อยละ 78 อันดับ 2 อ่านข่าวหรือ e-book ร้อยละ 56 และอันดับ 3 ค้นหาข้อมูล ร้อยละ 56
ในขณะที่ผู้ใช้งานผ่านคอมพิวเตอร์ จะใช้ในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล ได้แก่ การรับ-ส่งอีเมล การค้นหาข้อมูล อ่านข่าว หรือ e-book ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงินยังมีการดำเนินการผ่านคอมพิวเตอร์มากกว่าอุปกรณ์เคลื่อนที่ ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากความคุ้นเคยและความรู้สึกปลอดภัยในการใช้งาน รวมทั้งระบบบราวเซอร์ที่รองรับการทำงานบนคอมพิวเตอร์มากกว่า
นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าสนใจคือ กลุ่มเพศที่สามเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่และคอมพิวเตอร์สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ โดยใช้อุปกรณ์เคลื่อนที่ซื้อสินค้าออนไลน์ร้อยละ 39.1 และ ใช้คอมพิวเตอร์ซื้อสินค้าออนไลน์ คิดเป็นร้อยละ 50.7
3
เครือข่ายสังคมออนไลน์ยอดนิยม
ในปีนี้เครือข่ายสังคมออนไลน์และแอปพลิเคชั่นยอดนิยม 3 อันดับแรก ได้แก่ Facebook (ร้อยละ 93.7) LINE (ร้อยละ 86.8) และ Google+ (ร้อยละ 34.6) ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2556 จะเห็นว่ามีการสลับตำแหน่งกันระหว่าง LINE (ร้อยละ 61.1) และ Google+ (ร้อยละ 63.7)
สำหรับ Instagram และ Twitter มีผู้ใช้งานเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2556 โดยในปีนี้ มีผู้ใช้งาน Instagram ร้อยละ 34.1 ในขณะที่ปี 2556 มีผู้ใช้งานเพียงร้อยละ 12 และ Twitter มีผู้ใช้งานคิดเป็นร้อยละ 16.1 ในขณะที่ปี 2556 มีผู้ใช้งานเพียงร้อยละ 8.2 เท่านั้น
4
ปัจจัยที่ใช้ประกอบการซื้อสินค้า/บริการผ่านอินเทอร์เน็ตผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการตัดสินใจซื้อ 3 อันดับแรก ได้แก่ โปรโมชั่นที่ถูกใจ ข้อมูลสินค้าจากเว็บไซต์ของผู้ขายมีมากพอต่อการตัดสินใจซื้อ และระบบความปลอดภัยของเว็บไซต์ นอกจากนี้ บุคคลที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากที่สุด คือ กลุ่มเพื่อนหรือคนรู้จักที่เคยซื้อสินค้าและบริการจากเว็บ ซึ่งพบว่ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจมากกว่าความคิดเห็นของ Blogger หรือโฆษณาผ่านหน้าเว็บไซต์
ถึงแม้ว่าผลการสำรวจจะชี้ให้เห็นว่าคนไทยจะมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้น แต่ทาง สพธอ. ได้แสดงความกังวลว่าอาจจะเป็นการสร้างภัยให้โดยไม่รู้ตัว เนื่องจากผู้ใช้งานส่วนมากยังไม่ตระหนักถึงภัยคุกคามออนไลน์ โดยจะเห็นได้จากผลการสำรวจพฤติกรรมการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่สุ่มเสี่ยง พบว่า กว่าร้อยละ 70 ของผู้ตอบแบบสำรวจมักจะเช็คอินเสมอ ซ้ำยังตั้งค่าบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ของตนเป็น “Public” อีกด้วย
5
นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นอีกว่าตัวเลขการซื้อสินค้าผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่มีมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ โดยมูลค่าเฉลี่ยสูงสุดของการซื้อสินค้าอยู่ที่ 4,000 บาทต่อครั้ง และมูลค่าเฉลี่ยสูงสุดของการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่เป็นจำนวนเงินมากถึง 15,000 บาท โดยที่ผู้ใช้งานกว่าร้อยละ 75 ไม่ตั้งรหัสผ่านก่อนเข้าเครื่อง และไม่ทำการล้างข้อมูลเมื่อเลิกใช้หรือนำโทรศัพท์มือถือไปขายต่อ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ถือว่ามีความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้โดยกลุ่มมิจฉาชีพ
อย่างไรก็ตาม ทาง สพธอ. มีนโยบายที่จะรับมือกับกระแสภัยคุกคามออนไลน์ด้วยการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาหรือความไม่ชอบธรรมในโลกออนไลน์แบบ One Stop Service โดยเป็นความร่วมมือกับกสทช. และกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ DSI ซึ่งอาจจะมีการทำข้อตกลง MOU กันเร็วๆ นี้

ประเภทของการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต
การเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการในการใช้งานเป็นสำคัญ เช่นใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อค้นหาข้อมูลที่บ้าน ใช้ในเชิงธุรกิจ ใช้เพื่อความบันเทิง หรือใช้ภายในองค์กรขนาดใหญ่ ดังนั้นการเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ตจึงมีความแตกต่างกันซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านความต้องการ รวมทั้งเงินทุนที่จะใช้ในการติดตั้งระบบด้วย ปัจจุบันการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่นิยมใช้มี 5 ลักษณะ คือ




1. การเชื่อมต่อแบบ Dial Up
เป็นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตที่เคยได้รับความนิยมในยุคแรก ๆ โดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์บุคคล กับสายโทรศัพท์บ้านที่เป็นสายตรงต่อเชื่อมเข้ากับโมเด็ม (Modem) ก็สามารถใช้งานอินเตอร์เน็ตได้แล้ว ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตต้องทำการติดต่อกับผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตผ่านหมายเลขโทรศัพท์บ้าน โดยผู้ให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตจะกำหนดชื่อผู้ใช้ (Username) และรหัสผ่าน (Password) มาให้เพื่อเข้าใช้บริการอินเตอร์เน็ต
ข้อดี ของการเชื่อมต่อแบบ Dial Up คือ
อุปกรณ์มีราคาถูก
การติดตั้งง่าย
การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ทำได้ง่าย
ข้อเสีย คืออัตราการรับส่งข้อมูลค่อนข้างต่ำเพียงไม่เกิน 56 kbit (กิโลบิต) ต่อวินาที



2. การเชื่อมต่อแบบ ISDN(Internet Services Digital Network) 
เป็นการเชื่อมต่อที่คล้ายกับแบบ Dial Up เพราะต้องใช้โทรศัพท์และโมเด็มในการเชื่อมต่อ ต่างกันตรงที่ระบบโทรศัพท์เป็นระบบความเร็วสูงที่ใช้เทคโนโลยีระบบดิจิตอล (Digital) และต้องใช้โมเด็มแบบ ISDN Modem ในการเชื่อมต่อ ดังนั้นการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ ISDN จะต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ คือ
-ต้องติดต่อผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP) ที่ให้บริการการเชื่อมต่อแบบ ISDN
        -การเชื่อมต่อต้องใช้ ISDN Modem ในการเชื่อมต่อ
        -ต้องตรวจสอบว่าสถานที่ที่จะใช้บริการนี้ อยู่ในอาณาเขตที่ใช้บริการ ISDN ได้หรือไม่
ข้อดี คือไม่มีสัญญาณรบกวน มีความเร็วสูง และยังคงสามารถใช้โทรศัพท์เพื่อพูดคุยไปได้พร้อม ๆ กับการเล่นอินเตอร์เน็ต 
ข้อเสีย คือมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าระบบ Dial-Up



3. การเชื่อมต่อแบบ DSL(Digital Subscriber Line) 
เป็นเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูงโดยใช้สายโทรศัพท์ธรรมดา ที่สามารถใช้อินเตอร์เน็ตและพูดผ่านสายโทรศัพท์ปกติได้ในเวลาเดียวกัน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตแบบ DSL ก็คือ
-ต้องตรวจสอบว่าสถานที่ที่ติดตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ให้บริการระบบโทรศัพท์แบบ DSL หรือไม่
-บัญชีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจากผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตในแบบ DSL
-การเชื่อมต่อต้องใช้ DSL Modem ในการเชื่อมต่อ
-ต้องติดตั้ง Ethernet Adapter Card หรือ Lan Card ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย
ข้อดี คือมีความเร็วสูงกว่าแบบ Dial-Up และ ISDN 
ข้อเสีย คือไม่สามารถระบุความเร็วที่แน่นอนได้


4. การเชื่อมต่อแบบ Cable
เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยผ่านสายสื่อสารเดียวกับ Cable TV จึงทำให้เราสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปพร้อม ๆ กับการดูทีวีได้ โดยต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม คือ
-ใช้ Cable Modem เพื่อเชื่อมต่อ
-ต้องติดตั้ง Ethernet Adapter Card หรือ Lan Card ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วย
ข้อดี คือถ้ามีสายเคเบิลทีวีอยู่แล้ว สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้โดยเพิ่มอุปกรณ์ Cable Modem ก็สามารถเชื่อมต่อได้ 
ข้อเสีย คือถ้ามีผู้ใช้เคเบิลในบริเวณใกล้เคียงมาก อาจทำให้การรับส่งข้อมูลช้าลง


5. การเชื่อมต่อแบบดาวเทียม (Satellites) 
เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ระบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเรียกว่า Direct Broadcast Satellites หรือ DBS โดยผู้ใช้ต้องจัดหาอุปกรณ์เพิ่มเติม คือ
-จานดาวเทียมขนาด 18-21 นิ้ว เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณจากดาวเทียม
-ใช้ Modem เพื่อเชื่อมต่อระบบอินเตอร์เน็ต
ข้อเสีย ของการเชื่อมต่อแบบดาวเทียม (Satellites) ได้แก่
-ต้องส่งผ่านสายโทรศัพท์เหมือนแบบอื่น ๆ
-ความเร็วในการรับส่งข้อมูลต่ำมากเมื่อเทียบกับแบบอื่น ๆ
-ค่าใช้จ่ายสูง

  อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต
เนื่องจากในปัจจุบันความต้องการในการใช้อินเตอร์เน็ตมีเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในปัจจุบันนั้นก็มีมากขึ้นด้วย  ซึ่งสิ่งที่เราควรจะรู้ประการหนึ่ง  คือ  อุปกรณ์หรือส่วนประกอบที่จำเป็นต้องใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต

 อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ตนั้น  จะประกอบไปด้วย


 1.คอมพิวเตอร์  เป็นอุปกรณ์ที่รับข้อมูลต่างๆไปจาก อินเตอร์เน็ตสำหรับคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ถ้าเป็นเครื่อง  PC    ควรจะใช้เครื่องในระดับ  Pentium ที่มีระบบปฏิบัติการ  ตั้งแต่  Windows 95 ขึ้นไป  แต่ถ้าเป็นเครื่องแมคอินทอชนั้นควรใช้  System  7   ขึ้นไป  และควรมีหน่วยความจำตั้งแต่  16  MB  ขึ้นไป

2.  โมเด็ม (Modem)  เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแปลงสัญญาณดิจิตอลจากคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณอนาล็อก ผ่านคู่สายโทรศัพท์  และจะแปลงสัญญาณกลับอีกครั้งให้กับคอมพิวเตอร์ โมเด็มที่เหมาะสำหรับการใช้งานอินเตอร์เน็ต  ควรมีความเร็วตั้งแต่  33.6  Kbps  ขึ้นไป

 3. โทรศัพท์ ในการเชื่อมต่อช่องอินเตอร์เน็ตนั้นจะต้องมีคู่สายโทรศัพท์อย่างน้อย 1  เลขหมาย  เพื่อเชื่อมต่อจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราไปยังผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต       

4.  ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต  (Internet Service Provider)  หรือ ISP คือผู้ที่เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตจากประเทศไทยไปยังเครือข่ายอินเตอร์เน็ตต่างประเทศ

          หลักการเลือกผู้ให้บริการ  ISP 
          1.  จำนวนคู่สายโทรศัพท์ที่มีให้บริการแก่สมาชิก 
          2.  ความเร็วของสายสัญญาณ และขนาดความกว้างของช่องสัญญาณที่ต่อไปยังต่างประเทศ

ซอฟแวร์ที่จำเป็นสำหรับใช้งานบนระบบอินเตอร์เน็ต


1.โปรแกรมระบบปฎิบัติการ(Operating System)เป็นโปรแกรมที่สำคัญมากสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง เพราะจะทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่อพ่วง ให้ทำงานอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยเป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ ปัจจุบัน โปรแกรมระบบปฏิบัติที่นิยมใช้ได้แก่ Microsoft Windows ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตั้งแต่ Windows 95, Windows 98, Windows ME และ Windows XP หรือซอฟท์แวร์ประเภท Shareware เช่น Linux ก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน


2. โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) ถือเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการเรียกดูข้อมูลผ่านระบบอินเตอร์เน็ต โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ จะทำหน้าที่ในการแปลภาษาที่ใช้เขียนเว็บไซต์ ซึ่งได้แก่ภาษา HTML และ JAVA มาแสดงผลที่จอภาพได้ ให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต สามารถดูข้อมูลในรูปข้อความ และกราฟฟิก ได้ ปัจจุบันมีโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ (Web Browser) มากมายที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตสามารถเลือกใช้ได้ เช่น Internet Explorer, Netscape Communicator, Opera, MSN Browser, Neo Planet เป็นต้น


3. โปรแกรมรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) โปรแกรมรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) เป็นโปรแกรมที่ใช้งานสำหรับการส่งจดหมายทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งปัจจุบันมีหลายเว็บไซต์ที่ให้บริการฟรี โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมเหล่านี้ไว้ที่เครื่องคอมพิวเตอร์ ของตนเอง เพียงแต่เข้าไปใช้บริการผ่านเว็บไซต์เหล่านั้นก็จะสามารถส่งจดหมายได้แล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้บริการรับส่งจดหมายของบางหน่วยงานที่มีเว็บไซต์เป็นของตนเอง แล้วให้พนักงานรับส่งจดหมายผ่านเว็บไซต์ของหน่วยงาน แต่ไม่มีบริการของโปรแกรมรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในเว็บไซต์ ก็ต้องติดตั้งโปรแกรมรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ไว้ที่คอมพิวเตอร์ของตนโดยเฉพาะ แล้วรับส่งจดหมายโดยผ่านโปรแกรมเหล่านั้น ซึ่งได้แก่ Microsoft Outlook, Microsoft Exchange และ Eudora เป็นต้น


4. โปรแกรมสำหรับการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ต เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งการติดต่อสื่อสารอาจเป็นในรูปแบบของการพิมพ์ข้อความคุยโต้ตอบกัน (Chat ) หรือพูดคุยกันโดยผ่านไมโครโฟนที่ติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันการติดต่อสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตก้าวหน้าไปมาก ทำให้สามารถให้ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตสามารถเห็นหน้าระหว่างพูดคุยกันได้ ซึ่งเรียกว่า Video Conference โปรแกรมที่ใช้สำหรับการสื่อสารเหล่านี้ ได้แก่ Microsoft Chat, ICQ, MSN Messenger, Pirch, Mirc, Yahoo Messenger เป็นต้น


5. โปรแกรมมัลติมีเดียบนอินเตอร์เน็ต ปัจจุบันการใช้งานบนอินเตอร์เน็ตสามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งภาพและเสียง รวมทั้งภาพเคลื่อนไหว ดังนั้น เครื่องคอมพิวเตอร์ที่จะใช้งานอินเตอร์เน็ตจึงต้องติดตั้งโปรแกรมประเภทนี้ไว้ เพื่อให้สามารถเข้าถึงข้อมูลประเภทมัลติมิเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปรแกรมเหล่านี้ได้แก่ Real Audio, Real Video, Windows Media Player เป็นต้น

การส่งE-mail

Gmail คืออะไร

แนะนำตัวนิดนึงนะครับ สำหรับ Gmail หรือ google mail หนึ่งในบริการดีๆจาก google ที่จะทำให้เราสามารถมีอีเมล(จดหมายอิเล็กทรอนิกส์)เป็นของตัวเองได้ โดยสามารถเขียนจดหมาย อีเมล ไปยังผู้รับที่เราต้องการได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น hotmail yahoo และอื่นๆอีกมากมาย บริกา gmail นี้ ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือพูดง่ายๆว่า ฟรีครับผม ^^

อยากใช้ Gmail แล้วต้องทำอย่างไร

ก่อนอื่นนะครับ ถ้าเพื่อนๆคนไหนยังไม่เคยสมัคร Google mail หรือ Gmail แอดมินแนะนำให้สมัครกันก่อนนะครับ วิธีสมัคร gmail คลิกที่นี่เลยครับ
ส่วนถ้าใครที่มีบัญชี google mail หรือ gmail อยู่แล้ว เราไปลุยกันต่อในขั้นตอนด้านล่างได้เลยจ้า

เริ่มเข้าใช้งาน อีเมล Gmail

 ให้เราทำการเปิดเว็บเบราเซอร์นะครับ แล้วเข้าไปยังเว็บไซต์หลักของ google ได้เลย โดยพิมพ์ http://www.google.com
จากนั้นสังเกตุทางด้านขวามือบนสุดของจอภาพนะครับ จะมีปุ่มให้คลิก ลงชื่อเข้าสู่ระบบ ให้เราคลิกซ้ายเพื่อเข้าสู่ระบบได้เลยครับ
วิธีการเขียนอีเมลจดหมายด้วย Gmail

หลังจากที่เข้ามาแล้วให้เราทำการคลิกที่ช่อง “อีเมล” เพื่อกรอกข้อมูลชื่อบัญชีของเรา เช่น test@gmail.com  และช่องด้านล่างให้เรากรอกรหัสผ่านเข้าใช้งาน
วิธีการเขียนอีเมลจดหมายด้วย Gmail

หลังจากที่เข้าสู่บัญชีเรียบร้อยแล้ว บางครั้ง ระบบจะเด้งกลับมาที่หน้าหลัก ให้เราคลิกที่ “Gmail” อีกครั้งเพื่อไปยังหน้าหลักของระบบครับ
หรือถ้าใครไม่เด้งมาหน้าหลัก ก็ไม่เป็นไรครับผม ไปขั้นตอนต่อไปได้เลย
วิธีการเขียนอีเมลจดหมายด้วย Gmail

 หน้าหลักของระบบ Gmail หรือ Google mail

ในส่วนของหน้าหลักนี้นะครับ จะมีส่วนหลักๆอยู่ สามส่วนเลย คือ
ด้านซ้ายจะเป็นเมนูหลักต่างๆของ gmail ไม่ว่าจะเป็น
  • ปุ่มเขียน เพื่อเริ่มเขียนอีเมล หรือจดหมาย
  • กล่องจดหมาย  เป็นกล่องจดหมายหลักทั้งหมดของเรา
  • ติดดาว,สำคัญ, และรายการอีเมลอื่นๆที่เราแบ่งไว้เป็นแฟ้มต่างๆเพื่อแยกประเภท
แท็บด้านบน จะใช้ค้นหาอีเมลของเราทั้งหมด  และตรงกลางเนื้อหาหลัก จะเป็นรายการอีเมลต่างๆ โดยแยกเป็นสองสีๆนะครับสังเกตุได้
  • สีขาว คือ จดหมาย หรือ อีเมลนั้นยังไม่ได้อ่าน
  • สีเทา คือ จดหมาย หรือ อีเมล ที่เราอ่านแล้ว
ให้เราคลิกที่ปุ่ม “เขียน” เพื่อเริ่มเขียนอีเมลกันได้เลยครับ
อธิบายวิธีการเขียนอีเมลจดหมายด้วย Gmail

หากเราเขียนอีเมลครั้งแรกจะพบกับรูปด้านล่างนี้นะครับ ให้คลิกที่ รับทราบ ส่วนนี้จะเป็นรูปแบบใหม่ของการเขียนอีเมลจาก gmail
วิธีการเขียนอีเมลจดหมายด้วย Gmail

ในหน้าต่างเล็กที่เขียนว่า ข้อความใหม่ นี่คือช่องที่เราจะกรอกข้อมูลต่างๆเพื่อส่งอีเมลหาผู้รับนะครับ สิ่งที่เราต้องมีคือ
  • อีเมลผู้รับ เช่นตัวอย่างนะครับ kaka@gmail.com , yentafo@hotmail.com 
  • หัวเรื่องอีเมล เพื่อบอกรายละเอียดหัวเรื่องให้กับผู้รับว่า เราเขียนอีเมลเรื่องอะไรให้เขานะครับ
  • เนื้อหา รายละเอียด   ตรงนี้เราใส่ตามต้องการได้เลยครับ พิมพ์เป็นข้อความต่างๆได้เลย หรือจะแนบไฟล์ รูปภาพ 
วิธีการเขียนอีเมลจดหมายด้วย Gmail

กรอกข้อมูลกันเสร็จเรียบร้อยแล้วครบทุกหัวข้อ ให้เราตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งนะครับ ถ้าแน่ใจแล้วว่าถูกต้องทุกอย่างให้เราคลิกที่ปุ่ม “ส่ง” ได้เลยครับ
วิธีการเขียนอีเมลจดหมายด้วย Gmail

อุปกรณ์ที่จำเป็นในการติดตั้ง ADSL

ทำความรู้จัก ADSL ก่อนว่าคืออะไร

ADSL ย่อมาจาก Asynchronous Digital Subscriber Line เป็นเทคโนโลยีโมเด็มแบบใหม่ ที่เปลี่ยนแปลงคู่สายโทรศัพท์แบบที่มีอยู่เดิม ให้รองรับการส่งข้อมูลดิจิตอลและสื่อสารได้ในรูปแบบความเร็วสูง การใช้งาน ADSL โมเด็ม สามารถใช้งานร่วมกับสายโทรศัพท์ปกติ และระหว่างการใช้งานอินเตอร์เน็ต เราก็ยังคงสามารถใช้งานโทรศัพท์ได้อย่างปกติ โดยไม่มีสัญญาณรบกวนอีกด้วย

การเชื่อมต่อ ADSL มีอุปกรณ์อะไรบ้างที่จำเป็น

เรามาทำความรู้จักอุปกรณ์ที่จำเป็นในการเชื่อมต่อ หรือติดตั้ง ADSL modem กันสักนิด ทั้งนี้ เพื่อให้ทราบว่าเจ้าอุปกรณ์แต่ละชิ้่น ทำหน้าที่อะไรหรือมีประโยชน์อย่างไร ก่อนที่เราจะมาทำการติดตั้งจริง
  • ADSL Modem + Power


  • อุปกรณ์ในการแปลงสัญญาณโทรศัพท์ให้รองรับการใช้งานอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เราสามารถเลือกซื้อ
    ADSL modem ที่เป็น Router ในตัว ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ได้หลายเครื่องพร้อมกันผ่านสายแลน? แต่ถ้าเราเลือก ADSL modem ที่เป็น Wi-Fi ก็จะทำให้เราสามารถใช้งานทั้งแบบสายแลน และแบบไร้สาย






  • อุปกรณ์แยกสัญญาณ ADSL Splitter

    อุปกรณ์ในการช่วยแยกสัญญาณโทรศัพท์ และสัญญาณ ADSL ซึ่งจะช่วยทำให้เราสามารถใช้งาน ADSL และ โทรศัพท์ได้พร้อมกัน






  • สายโทรศัพท์ 3 เส้น

    สำหรับการเชื่อมต่อเข้ากับ
    • 1 เส้น สำหรับเอ้าเล็ทโทรศัพท์
    • 1 เส้น สำหรับการเชื่อมต่อตัวเครื่องโทรศัพท์
    • 1 เส้น สำหรับการเชื่อมต่อ ADSL modem


  • สายแลน หรือ LAN Cable
    บางคนอาจเรียก
    UTP Cable? หรือ Ethernet Cable อันนี้ก็แล้วแต่ว่าใครจะเรียกก็แล้วกัน แต่ในความหมายแล้ว คือสิ่งเดียวกัน? แต่ในกรณีที่ติดตั้งเป็น Wi-fi Router อาจไม่จำเป็นต้องใช้สายแลน เพราะทุกอย่างจะทำผ่าน Wi-Fi เป็นหลัก

    ความแตกต่างระหว่างสายแลน และสายโทรศัพท์ ก็คือ หัวข้อสายแลนจะใหญ่กว่าหัวของโทรศัพท์มาก
  • คอมพิวเตอร์สำหรับการเชื่อมต่อเน็ต
    เราสามารถใช้ คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ หรือคอมพิวเตอร์แบบกระเป๋าหิ้วก็ได้เช่นกัน

แนะนำการเลือกซื้อ ADSL modem ให้เหมาะสม

ปัจจุบัน การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกับอุปกรณ์โมบาย ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เป็นต้น ดังนั้น การเลือกซื้อ ADSL modem เราจึงควรเลือกซื้อแบบที่รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย หรือ Wi-Fi ด้วยนั่นเอง
การติดตั้ง ADSL modem เราจำเป็นจะต้องมีการตั้งค่าบางอย่างก่อน จึงจะสามารถเริ่มใช้งานได้ โดยเฉพาะกับ ADSL modem ที่รองรับการใช้งาน Wi-Fi ?เราจำเป็นจะต้องกำหนดรหัสผ่านในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก่นอ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพราะมิฉะนั้นน ใครๆ ก็สามารถใช้งานเน็ตผ่าน ADSL modem ของเราได้

ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต

ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (อังกฤษInternet service provider: ISP) คือ บริษัทที่ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต[1] โดยผู้ให้บริการจะเชื่อมโยงลูกค้าเข้ากับเทคโนโนยีรับส่งข้อมูลที่เหมาะสมในการส่งผ่านอุปกรณ์โพรโทคอลอินเทอร์เน็ต อย่างเช่น ไดอัลดีเอสแอลเคเบิลโมเด็มไร้สาย หรือการเชื่อมต่อระบบไฮสปีด
ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตอาจให้บริการ เปิดบัญชีชื่อผู้ใช้ในอีเมล ติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นโดยรับ-ส่ง ผ่านเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการ ในบางครั้งผู้ให้บริการทางอินเทอร์เน็ตอาจให้บริการเก็บไฟล์ข้อมูลระยะไกล รวมถึงเรื่องเฉพาะทางอื่น เป็นต้น
อ่านต่อ
www.your-domain.comโดเมนเนม (domain name) คือ ชื่อที่ใช้ระบุลงในคอมพิวเตอร์ เพื่อไปค้นหาในระบบ โดเมนเนมซีสเทม (Domain Name System) เพื่อระบุถึง ไอพีแอดเดรส ของชื่อนั้นๆ เป็นชื่อที่ผู้จดทะเบียนร

 ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ISP)

ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือ ISP (Internet Service Provider)
หมายถึง œหน่วยงานที่ให้บริการเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
œทำหน้าที่เสมือนเป็นประตูเปิดการเชื่อมต่อให้กับบุคคลหรือองค์กรสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้
œมีอยู่ 2 ประเภทคือ
œผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ (commercial ISP)
œผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตสำหรับสถาบันการศึกษา การวิจัยและหน่วยงานของรัฐ (non-commercial ISP)


 ผู้ให้บริการ

บริษัท บีบี บรอดแบนด์ จำกัด

บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)

บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)

บริษัท เอ็น ที ที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท มิลคอม ซิสเต็มซ์ จำกัด

บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนต จำกัด

บริษัท อินเตอร์เนต โซลูชั่น แอนด์ เซอร์วิส โพรวายเดอร์ จำกัด

บริษัท ทีทีแอนด์ที ซับสไครเบอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด

บริษัท เอเน็ต จำกัด

บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต จำกัด

บริษัท แพคเน็ท อินเทอร์เน็ต (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท โปรอิมเมจ เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด

ห้บริการ ผู้ให้บริการทั้งหมด 16 ผู้ให้บริการ

บริษัท เค เอส ซี คอมเมอร์เชียล อินเตอร์เนต จำกัด

บริษัท สามารถ อินโฟเนต จำกัด

บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ จำกัด (มหาชน)

บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน)






ระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่ายอินเตอร์เน็ต


Firewall
มีหน้าที่ป้องกันการโจมตีหรือสิ่งไม่พึงประสงค์บุกรุคเข้าสู่ระบบ Network ซึ่งเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยภายในระบบ Network เป็นการป้องกันโดยใช้ระบบของ Firewall กำหนดกฏเกณฑ์ควบคุมการเข้า-ออก หรือควบคุมการรับ-ส่งข้อมูล ในระบบ Network

ทำไมต้องมีการติดตั้ง Firewall


ปัจจุบันการเข้าถึงข้อมูลสำคัญในองค์กรสามารถเข้าถึงได้โดยผ่านเครือข่ายต่างๆเช่น Internet หรือเครือข่ายส่วนตรัวเสมือน นอกจากบุคคลากรในองค์กรแล้วผู้ไม่หวังดีต่างๆย่อมต้องการลักลอบหรือโจมตีเพื่อให้เกิดความเสียหายได้เช่นกันดังนั้น Firewall จึงมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบันโดยหน้าที่ของ Firewall ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาและรวมเอาความสามารถหลายๆอย่างเข้ามาด้วย ตัวอย่างหน้าที่ ที่สามารถทำได้เช่น
  • ป้องกันการโจมตีด้วยยิง Traffic
  • ป้องกันไม่ให้เข้าถึงช่องโหว่ที่อาจมีขึ้นที่ server ต่างๆ
  • ป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลจากบุคคลากรภายใน
  • ควบคุมการใช้งานเฉพาะโปรแกรมที่ต้องการ
  • เก็บ log เพื่อพิสูจน์ตัวตน




Log server
ทำไมเราถึงต้องเก็บ log
เนื่องจากโลก Internet เป็นสิ่งที่สามารถปลอมแปลงชื่อหรือตัวตนแยกจากโลกความเป็นจริงได้ ทำให้เกิดปัญหาไม่สามารถหาผู้กระทำความผิดได้ในกรณีที่เกิดปัญหาต่างๆ จึงได้จัดตั้ง พรบ. ว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ที่ได้เล็งเห็นถึงโทษที่เกิดจากภัยคุกคาม บนระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งทุกองค์กรจะต้องมีการเก็บ log ที่สามารถตรวจสอบและโยงไปสู่ผู้กระทำผิดได้




VPN
ในอดีตการเชื่อต่อสาขาแต่ล่ะที่เข้าด้วยกันจำเป็นต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ในปัจจุบันมีเทคโนโลยี VPN เข้ามาช่วยทำให้เสมือนแต่ล่ะสาขาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน สิ่งที่ VPN ทำนั้นจะสร้างท่อเชื่อมกันระหว่างสองสาขาและส่งข้อมูลผ่านท่อที่สร้างขึ้น client ที่จะใช้งานข้ามสาขาไม่จำเป็นต้องปรับแต่งเพื่อให้ใช้งาน vpn และสามารถที่จะใช้งานได้ทันทีที่มีการเชื่อมต่อ vpn media หนึ่งที่รองรับการทำงานด้วย vpn คือ internet

VPN



Web Filtering
เป็นบริการที่ช่วยให้ธุรกิจหรือองค์กรควบคุมพฤติกรรมในการเข้าใช้อินเทอร์เน็ตจากในองค์กร และให้เหมาะสมกับนโยบายและลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการใช้งานที่ไม่จำเป็นต่อองค์กรและไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายกับ Internet bandwidth ในการใช้งานเว็บไซต์ที่ไม่จำเป็น หรือในกรณีที่ต้องการควบคุมการใช้งานอินเทอร์เน็ตให้เหมาะกับกลุ่มผู้ใช้ในองค์กร
ทั้งเป็นการประหยัดเวลาของผู้ดูแลระบบ หรือ IT Manager ในการ add block list ที่ router หรือ proxy ซึ่งจะช่วยกรองและบล็อคเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม หรือไม่ต้องการให้เข้าไปใช้งาน ยกตัวอย่างเช่น องค์กรต้องการบล็อคเว็บไซต์ที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อการบริหารจัดการ การใช้ช่องสัญญาณอินเทอร์เน็ตภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น




ANTI-VIRUS
(Virus) หรือ ไวรัสคอมพิวเตอร์ ถือเป็นปัญหาหนึ่งที่สร้างความเสียหายมากที่สุดให้กับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ระดับ PC จนถึง ระดับ Network ที่มีขนาดใหญ่ โดยมีการโจมตีแบบ phishing ไวรัส สแปม และอื่นๆ อีกมากมายซึ่งทำให้เกิดผลกระทบและสร้างความเสียหายให้กับคอมพิวเตอรืส่วนบุคคลและผู้ประกอบธุรกิจ จึงควรมีการรักษาความปลอดภัย ที่จะช่วยปกป้องข้อมูลและระบบของคุณให้ปลอดภัยจากการคุกคามบนอินเทอร์เน็ต